บ้าน คอนโด หรือที่อยู่อาศัย คือเป้าหมายแรกๆของมนุษย์อย่างเรา เป็นปัจจัยสำคัญและจำเป็นต่อการดำรงชีวิตที่มีอิทธิพลมากสำหรับความเป็นอยู่ สิ่งแวดล้อมโดยรวม โดยปกติธนาคารจะปล่อยกู้ให้สำหรับผู้ที่มีรายได้ประจำ มีฐานเงินเดือน มีรายได้ที่แน่นอน ซึ่งกลุ่มวัยทำงานระยะ 22-25 ปี ที่มีฐานเงินเดือนประจำตั้งแต่ 15,000 บาทขึ้นไป ไม่มีภาระหนี้สิน จะเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของธนาคารที่จะปล่อยกู้ ผ่านง่าย เพราะกลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้ จะมีความสามารถในการผ่อนชำระกับธนาคารได้ในระยะยาว นั่นหมายถึง น้องๆที่เพิ่งจบใหม่ เพิ่งเริ่มทำงาน ก็สามารถวางแผนเรื่องการ ขั้นตอนซื้อบ้าน ซื้อคอนโด หรือที่อยู่อาศัยหลังแรกได้ง่ายๆ แต่ควรศึกษาขั้นตอนการ กู้ซื้อบ้าน ทำความเข้าใจ วิธีการและขั้นตอนต่างๆเพื่อวางแผนในการ ซื้อบ้าน หลังแรกกันก่อน บทความนี้เราจะมาแนะนำ 5 ขั้นตอนการกู้ซื้อบ้าน ทำอย่างไรให้ผ่านฉลุย
5 ขั้นตอนการกู้ซื้อบ้าน ซื้อคอนโด ให้ผ่านฉลุย
1. สำรวจความสามารถในการยื่นกู้ของตนเอง
เมื่อต้องการกู้ซื้อบ้าน การรู้แนวโน้มของราคาบ้านและความสามารถในการผ่อนชำระเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราเลือกที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมกับรายได้ โดยมีสูตรคำนวณที่เป็นที่ยอมรับในการประเมินความสามารถในการกู้ ดังนี้
สูตรคำนวณราคาบ้านที่สามารถกู้ได้: รายได้ต่อเดือน×(60 เท่าของรายได้) = ราคาบ้านที่กู้ซื้อได้
ตัวอย่างการคำนวณ:
รายได้ต่อเดือน 25,000 บาท x 60 เท่าของรายได้ = 1,500,000 บาท (ราคาบ้านที่สามารถกู้ได้) โดยปกติ ธนาคารให้ผู้กู้ซื้อบ้านได้ 30-40% ของรายได้ ดังนั้น ต้องคำนวณว่า ภาระหนี้ต่อรายได้ หรือ DSR (Debt Service Ratio) เกินกำหนดหรือไม่
สูตรคำนวณความสามารถในการผ่อนชำระ (DSR): รายได้ต่อเดือน × (30% หรือ 40%) = ความสามารถผ่อนชำระ
ตัวอย่างการคำนวณ:
รายได้ต่อเดือน 25,000 x 30% = 7,500 บาท
รายได้ต่อเดือน 25,000 x 40% = 10,000 บาท
ภาระหนี้ คือ รวมค่าผ่อนรถ, โทรศัพท์มือถือ, เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ สมมติว่าคุณมีภาระหนี้ผ่อนโทรศัพท์เดือนละ 2,000 บาท ความสามารถในการผ่อนชำระหนี้จะเหลือเพียง 5,500 – 8,000 บาท ซึ่งจะมีสูตรคำนวณความสามารถในการกู้ วิธีการประเมินความสามารถในการกู้โดยทั่วไป ธนาคารจะใช้ อัตราผ่อน 7,000 : วงเงินกู้ 1,000,000 บาท* ซึ่งผู้กู้สามารถนำมาคำนวณหาวงเงินกู้บ้านที่น่าจะได้รับกับความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ ด้วยสูตรนี้
สูตรคำนวณความสามารถในการกู้หากมีภาระหนี้: (ความสามารถในผ่อนชำระ x 1,000,000) ÷ 7,000 = ราคาบ้านที่สามารถกู้ได้
ตัวอย่างการคำนวณ:
(ความสามารถผ่อนชำระ 5,500 x 1,000,000) ÷ 7,000 = 785,714 บาท (ราคาบ้านที่สามารถกู้ได้)
(ความสามารถผ่อนชำระ 8,000 x 1,000,000) ÷ 7,000 = 1,142,857 บาท (ราคาบ้านที่สามารถกู้ได้)
นี่คือการสำรวจความสามารถในการยื่นกู้ของตนเอง จากสูตรคำนวณต่างที่จะทราบราคาบ้านที่เราสามารถกู้ได้เบื้องต้น สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมของธนาคารได้ที่ เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของธนาคาร
2. สร้างประวัติการเงินให้สวย
การมีศักยภาพในการกู้บ้านไม่เพียงแต่ขึ้นอยู่กับรายได้เท่านั้น การบริหารจัดการเงินและการดำเนินชีวิตการเงินอย่างระมัดระวังก็เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากธนาคารมักจะตรวจสอบ Statement หรือบัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน การมีเงินคงเหลือในบัญชีอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยสะท้อนถึงศักยภาพความสามารถทางการเงินของคุณ
สำหรับผู้ที่ทำงานเป็นฟรีแลนซ์ หรือเป็นพ่อค้าแม่ค้า ที่รับรายได้เป็นรายครั้งหรือรายวัน การโอนเงินเข้าบัญชีอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ธนาคารเห็นถึงความเสถียรทางการเงินของคุณมากยิ่งขึ้น
ดังนั้น การจัดการเงินอย่างมีวินัย และการรักษาบัญชีธนาคารให้มีเงินคงเหลืออยู่เป็นสิ่งที่ควรทำ เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการขอกู้บ้านในอนาคต
3. เปรียบเทียบข้อเสนอของธนาคาร
เมื่อคุณเตรียมตัวพร้อมแล้วสำหรับการยื่นกู้บ้าน ขั้นตอนถัดไปที่สำคัญคือการเปรียบเทียบและศึกษาข้อมูลของธนาคารต่างๆ เพื่อหาทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด ในการทำเปรียบเทียบ คุณควรพิจารณาดังนี้:
- วงเงินกู้: คุณต้องดูเบื้องต้นเปอร์เซ็นต์วงเงินกู้ที่ธนาคารประเมินสำหรับคุณ
- อัตราดอกเบี้ย: ธนาคารแต่ละแห่งมีอัตราดอกเบี้ยที่แตกต่างกัน คุณควรเลือกธนาคารที่มีอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมกับคุณ
- ค่าธรรมเนียม: หลายธนาคารมีค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่ต้องจ่าย เช่น ค่าประกัน, ค่าประเมินทรัพย์สิน และค่าธรรมเนียมอื่นๆ
- ระยะเวลากู้: คุณควรตรวจสอบระยะเวลาในการกู้ที่ธนาคารนั้นๆ และดูว่าเหมาะสมกับความต้องการของคุณหรือไม่
- ค่างวดผ่อนชำระ: คุณควรคำนึงถึงค่างวดผ่อนชำระที่สามารถผ่อนได้โดยไม่มีภาระหนี้มากเกินไป
- ข้อเสนอเพิ่มเติม: สามารถพิจารณาประกันชีวิต, ความคุ้มครองสินเชื่อ MRTA และข้อเสนออื่นๆ ที่ธนาคารนั้นมี
เมื่อคุณได้เปรียบเทียบและพิจารณาข้อมูลทั้งหมดแล้ว แนะนำให้คุณยื่นกู้ที่อย่างน้อย 3 ธนาคาร เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับสินเชื่อที่ดีที่สุดสำหรับคุณ
4. เตรียมเอกสารเพื่อยื่นกู้
การยื่นกู้ซื้อบ้านกับธนาคารต้องการหลายหลักฐานเพื่อยืนยันความสามารถทางการเงินและรายได้ของคุณ ซึ่งหลักฐานเหล่านี้รวมถึงสลิปเงินเดือน ใบรับรองการทำงาน หรือเอกสารอื่น ๆ ที่ธนาคารต้องการ
การเตรียมตัวดีเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อให้กระบวนการยื่นกู้ซื้อบ้านเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว นอกจากนี้ยิ่งดีหากคุณสามารถเตรียมหลักฐานล่วงหน้าและขออนุมัติเอกสารไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ นั่นจะช่วยให้กระบวนการเสร็จสิ้นได้รวดเร็ว โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีกระบวนการขอเอกสารที่ต้องใช้เวลาดำเนินการนาน
ดังนั้น การเตรียมตัวและการวางแผนล่วงหน้าเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ เพื่อให้คุณได้บ้านในแบบที่ต้องการ และทำให้คุณมั่นใจในการยื่นกู้ซื้อบ้านของคุณ
5 เอกสารสำคัญสำหรับการกู้บ้านครั้งแรกที่คุณต้องเตรียม
เมื่อคุณมุ่งหน้าที่จะกู้บ้าน คุณจะต้องเตรียมเอกสารหลายชนิดเพื่อยืนยันความสามารถทางการเงินและความน่าเชื่อถือของคุณ
- เอกสารส่วนตัว
- บัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรที่ราชการออก
- ใบเปลี่ยนชื่อหากมีการเปลี่ยนชื่อหรือสกุล
- สำหรับคู่สมรส, สำเนาทะเบียนสมรสและบัตรประชาชนของคู่สมรส รวมถึงหนังสือยินยอมถามความสนใจจากคู่สมรสที่ต้องแนบในสัญญา
- เอกสารทางการเงิน
- สำหรับพนักงานประจำ: หนังสือรับรองเงินเดือน, สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 3 เดือน, สำเนาเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน
- สำหรับเจ้าของกิจการหรือผู้ประกอบอาชีพอิสระ: สำเนาเดินบัญชีย้อนหลัง 12 เดือน, หลักฐานการเงินอื่น ๆ ฉบับจริง เช่น ทะเบียนการค้า, หลักฐานการเสียภาษี, รูปถ่ายกิจการ, และสำเนาใบประกอบวิชาชีพ
- หนังสือให้ยินยอมตรวจสถานะประวัติค้างชำระหนี้
- เอกสารหลักประกัน
- หนังสือสัญญาจะซื้อจะขาย และเอกสารการวางมัดจำ ซึ่งเป็นสิ่งที่ธนาคารใช้ในการพิจารณา
- เอกสารของผู้กู้ร่วม (ถ้ามี)
- ในกรณีที่ผู้กู้เป็นญาติ เช่น พี่น้อง, คู่สมรส จะต้องยื่นเอกสารแสดงตัวตนและรายได้, รวมถึงเอกสารยินยอมให้ตรวจสอบประวัติค้างชำระหนี้กับเครดิตบูโร
5. เตรียมเงินดาวน์และค่าใช้จ่ายอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
เตรียมเงินดาวน์สำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียม สิ่งสำคัญที่ควรรู้ เมื่อคุณตัดสินใจที่จะซื้อบ้านหรือคอนโดที่คุณชื่นชอบ มีสิ่งสำคัญที่คุณควรเตรียมตัวเพื่อการเริ่มต้นที่ดี คือ เงินดาวน์สำหรับดาวน์ และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
การเตรียมเงินดาวน์สำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อใช้เป็นเงินดาวน์หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าจดจำนอง, ค่าประเมิณพื้นที่, หรือค่าส่วนกลาง เป็นต้น
เงื่อนไขการกู้บ้าน: แม้ว่าปีนี้จะมีมาตรการผ่อนปรน LTV และโปรโมชั่นฟรีดาวน์ แต่โดยเฉลี่ยธนาคารจะให้กู้สูงสุดถึง 90% ของราคาบ้าน ดังนั้น คุณควรเตรียมเงินดาวน์อย่างน้อย 10 – 20% ของราคาบ้านที่คุณเลือก
ตัวอย่างการคำนวณดาวน์: เช่น บ้านราคา 4,000,000 บาท คุณจะต้องเตรียมเงินดาวน์ 10% หรือ 400,000 บาท หรือชำระดาวน์เฉลี่ยเดือนละ 40,000 บาท
ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ควรพิจารณา:
- ค่าใช้จ่ายวันโอน: ค่าจดจำนอง, อากรแสตมป์, ค่าประเมินพื้นที่
- ค่าใช้จ่ายเมื่อเริ่มเข้าอยู่: ค่าจดมิเตอร์น้ำประปาและไฟฟ้า, ค่าเฟอร์นิเจอร์, ค่าต่อเติมเพื่ออยู่อาศัย
- ค่าบำรุงรักษา: ค่าส่วนกลาง, ประกันอัคคีภัย, ค่าปรับปรุงบ้าน, ประกันชีวิต
การเตรียมตัวและการวางแผนอย่างรอบคอบจะช่วยให้คุณเตรียมพร้อมสำหรับการเป็นเจ้าของบ้านหรือคอนโดที่คุณใจชื่นชอบได้อย่างมั่นใจ Wisdom Real Estate ผู้ให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ ซื้อ ขาย เช่า | ฝากขายบ้าน ปรึกษาฟรี ดูแลทุกขั้นตอนตั้งแต่ยื่นกู้ขอสินเชื่อ จนถึงวันโอน